Gift For Santa (Wind Version) - Gift For Santa (Wind Version) นิยาย Gift For Santa (Wind Version) : Dek-D.com - Writer

    Gift For Santa (Wind Version)

    ซานต้าครอสมีจริงหรือไม่ เรื่องนี้จะบอกท่านได้

    ผู้เข้าชมรวม

    540

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    540

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 ส.ค. 48 / 21:12 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      Gift For Santa (Wind Version)

          ข้างนอกมีหมอก
          อากาศหนาวเย็น  หมอกขาวลอยต่ำ  สองตาหลานนั่งอยู่ในกระท่อมไม้  ผิงเตาไฟที่สั่นไหวให้ความอบอุ่น
          ย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว  อากาศวันนี้หนาวเย็นเป็นพิเศษ  ดังนั้นเด็กน้อยจึงนั่งหนุนอยู่บนตักชายชรา
          เสียงเก้าอี้หวายลั่นเอี๊ยดอ๊าด  ผสานเสียงเพี๊ยะๆในกองเพลิง  ร่วมกันเป็นท่วงทำนองที่สุขสงบและอบอุ่น  ในเวลานั้นเด็กน้อยเบิกตากลมโตถามชายชราว่า
          \" คุณตาครับ  ซานต้ามีอยู่จริงมั้ยครับ ? \"
          ชายชรายิ้มเล็กน้อย  เขาพอแย้มยิ้มรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าก็คล้ายกับได้แย้มยิ้มไปด้วย  กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า
          \" มีสิหลาน  ในโลกนี้มีซานต้าอยู่  มีอยู่มากเสียด้วย \"
          เด็กน้อยกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า
          \" จริงเหรอครับ  คุณตาเคยเจอมามั้ยครับ ? \"
          ชายชรายิ้มรับ  เด็กน้อยจึงร้องขอว่า
          \" งั้นคุณตาเล่าเรื่องของซานต้าให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยครับ ? \"    
          ชายชราหัวเราะเบาๆ  แล้วลูบศีรษะเด็กน้อยพร้อมกล่าวว่า
          \" ได้สิหลาน  ตาจะเล่าให้ฟัง  กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..... \"

                  ----------------------------------------------------------------- =_= -----------------------------------------------------------------


                  หิมะโปรยปรายทั่วแผ่นฟ้า หมอกขาวเอื่อยเฉื่อยปกคลุมแผ่นดิน
                  หิมะสีเงินคล้ายดวงแสง หมอกขาวบางเบาคล้ายความฝันอันแสนไกล
                  วันนี้มีหิมะ ในวันนั้นก็มีหิมะ
                  หิมะที่งดงามดุจเดียวกัน เย็นยะเยียบดุจเดียวกัน ไร้ปราณีดุจเดียวกัน
                  วินด์ไม่ชอบหน้าหนาว เขาชมชอบหน้าร้อนมากกว่า
                  เนื่องเพราะความร้อนทำให้ผู้คนมีสติแจ่มใส มีความคึกคัก และมีชีวิต
                  แต่ความหนาวเย็นแตกต่างไป มันทำให้ผู้คนสูญเสียพลังและความกระตือรือร้น ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความโศกเศร้า ทุกครั้งที่หน้าหนาวกรายมา ในเวลาที่ทุกคน      กำลังสนุกสนานรื่นเริงกับการเตรียมตัวรับงานเทศกาลกัน เขากลับรู้สึกรู้สึกเพียงความเงียบเหงาและหดหู่
                  วันนี้ก็เช่นเดียวกัน เด็กชายวัยเจ็ดขวบแบกถุงหนังใบใหญ่ขึ้นบ่าเดินอย่างเชื่องช้าออกจากบ้าน ย่ำผ่านหิมะไปตามถนนตามลำพัง
                  ในถุงใหญ่ใบนี้เขาใส่ของขวัญวันเกิดของเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตเอาไว้ ใช่แล้ว... วันนี้เป็นวันที่ 24 ธันวา เป็นวันที่ \"คล้ายกับ\" วันเกิดของเธอ
                  ข้าพเจ้าใช้คำว่า \"คล้ายกับ\" เนื่องเพราะมิว่าผู้ใดก็ไม่ทราบวันเกิดที่แท้จริงของเธอ กระทั่งเธอเองยังไม่ทราบ
                  ทุกผู้คนเพียงทราบว่าในวันนี้ของเมื่อ 7 ปีก่อน มีทารกน้อยเพศหญิงคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ที่หน้าบ้านของป้าเรย์ ป้าเรย์ตั้งชื่อให้เธอว่าอีฟ และเลี้ยงดูเธอมาด้วยความรักเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่งจริงๆ
                  อีฟเป็นเด็กหญิงที่น่าสงสาร มิเพียงถูกพ่อแม่ทอดทิ้งเท่านั้น กระทั่งแสงสว่างยังไม่มีโอกาสได้รับรู้ นับแต่วันแรกที่ถือกำเนิดเกิดมาดวงตาก็ต้องมืดบอดไป
                  เธอแม้จะอยู่ในโลกแห่งความมืด แต่หัวใจกลับไม่มืดบอดตาม หัวใจเธอสว่างสดใสยิ่งกว่าใครๆในโลกนี้ อบอุ่นและอ่อนโยนยิ่งกว่าทุกผู้คน
                  อีฟรู้จักแต่ความรัก ไม่รู้จักความแค้น
                  เธอไม่เคยเจ็บแค้นกับความทุกข์ที่ตัวเองได้รับ ทั้งยังคิดหยิบยื่นความสุขให้แก่คนอื่นๆอยู่ตลอดเวลา วินด์ได้พบเจอกับผู้คนมากมาย แต่ก็ไม่เคยนับถือใครอย่างเต็มหัวใจเท่ากับเด็กหญิงคนนี้มาก่อนเลย
                  ดังนั้นทุกๆปีของวันนี้ วันที่คล้ายกับวันเกิดของอีฟ วินด์และพรรคพวกจึงต้องไปรวมตัวกันจัดงานวันเกิดให้กับเธอเป็นประจำทุกๆปี
                  วินด์เงยหน้าขึ้นมองข้างทาง เขาพบว่าต้นไม้ใหญ่สูญเสียสีเขียวที่เขาชื่นชอบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
                  ต้นไม้ข้างทางถูกหิมะปกคลุมไปหมดแล้ว โลกคล้ายกลับกลายเป็นสีเงินที่แปลกประหลาด เด็กน้อยเห็นว่ามันแปลกประหลาด เนื่องเพราะเขามีความรู้สึกว่าบรรยากาศในวันนี้มีอะไรบางอย่างแตกต่างไปจากวันก่อน จนใจที่กระทั่งเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร
                  อาจบางทีนั่นเป็นลางสังหรณ์ชนิดหนึ่ง เป็นลางสังหรณ์ที่บางเบาจนคล้ายรู้สึกไปเอง
                  เขาสั่นศีรษะไปมา ตกลงใจสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ค่อยระบายลมออกจากปากเบาๆ แล้วเดินต่อไปดังเช่นปกติ
                  ใช่แล้ว... วันนี้ก็เป็นวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง ไม่มีอะไรแตกต่างจากวันอื่นๆเลย

                  ----------------------------------------------------------------- =_= -----------------------------------------------------------------


                  \" น่าเบื่อจังน้า.... \"
                  วินด์บ่นเสียงเอื่อยๆ ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันเกิดของอีฟ แต่มันกลับไม่ทำให้เขารู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาได้เลย นั่นเป็นเพราะอะไรกัน ?
                  ตะวันเปลี่ยนสีแล้ว เปลี่ยนไปเป็นสีแดงฉานปานเปลวเพลิง สีขาวที่รอบตัวเขาก็ถูกย้อมจนเป็นสีส้มจางๆเช่นกัน
                  \" เย็นแล้วเหรอ ? งั้นก็ไกล้ถึงเวลาแล้วสิ \"
                  วินด์เหม่อมองท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย ในประกายตาคู่นั้นคล้ายมีความในใจอะไรบางอย่าง ไม่ทราบเป็นความปิติ รึว่าสะทกสะท้อน ?
                  เขาชะงักเท้าลง ค่อยบรรจงวางถุงหนังลง จากนั้นใช้สองมือควักหิมะขึ้นมาจากพื้น แล้วลูบไปมาบนใบหน้าตนเอง
                  วินด์ไม่ชอบความเย็น ความเย็นมักทำให้เขารู้สึกโศกสลด แต่หิมะที่เย็นยะเยียบจนบาดใจนี้กลับช่วยให้เขามีสติแจ่มใสขึ้น
                  เด็กหนุ่มพริ้มตาลง ปล่อยให้เกล็ดหิมะละลายไหลลงจากใบหน้า ชั่วครู่ค่อยลืมตาช้าๆ
                  เขากางแขนขาออก เริ่มบิดขี้เขียจรอบหนึ่ง ค่อยเริ่มต้นแย้มยิ้ม ไม่ใช่รอยยิ้มที่เงียบเหงาเช่นเมื่อครู่ แต่เป็นรอยยิ้มอีกชนิดหนึ่งตามแบบฉบับของเขา ซึ่งดูแล้วแทบจะแตกต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
                  วินด์ยกถุงหนังขึ้นอีกครั้ง แล้วเริ่มฮัมเพลงออกมาเบาๆ เพลงที่ร้องไม่ใช่เพลงคริสมาสต์ดังเช่นคนอื่น แต่เป็นเพลงประหลาดที่เขาจำมาจากนักเดินทางคนหนึ่ง แน่นอนว่า            เพลงนี้กระทั่งเขาเองยังไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร รู้แค่ว่ามันร้องสนุกดีเท่านั้นเอง
                  ดวงตาของเขาเริ่มมีประกายขึ้นมาเป็นครั้งแรก ตนตบถุงหนังที่บ่าเบาๆคราหนึ่งค่อยเอ่ยขึ้นอย่างรื่นเริงว่า
                  \" เอาล่ะ ! ไปกันเถอะเจ้ากล่องของขวัญ ! ไปงานวันเกิดอีฟกัน ! \"

                  ----------------------------------------------------------------- =_= -----------------------------------------------------------------


                  ก่อนจะถึงบ้านของอีฟ เขาและเพื่อนๆนัดกันว่าจะไปรวมตัวกันที่หน้าบ้านของเอลก่อน ในขณะที่วินด์มาถึงเขาก็พบว่าเอลกับคริสมารออยู่ก่อนแล้ว ในมือคริสถือกล่องใบใหญ่ไว้ ใบหนึ่ง ซึ่งเขามองปราดเดียวก็ทราบทันทีว่านั่นต้องเป็นเค้กวันเกิดแน่ๆ
                  วินด์จำได้ว่าทุกๆปีคริสจะเป็นคนทำเค้กมาเลี้ยงทุกคน ซึ่งเค้กนั่นก็รสชาติไม่เลวเลย สมกับเป็นลูกเจ้าของร้านทำขนมจริงๆ แถมยังเป็นร้านที่เขามั่วนิ่มกินฟรีอยู่ประจำซะด้วยสิ...
                  \" ว่าไงพรรคพวก เค้กเป็นไงมั่ง ? \"
                  วินด์กล่าวทักทายอย่างยิ้มแย้ม ถึงแม้คำพูดจะไม่ค่อยคล้ายคำทักทายซักเท่าไหร่ แต่ยังไงมันก็ยังเป็นคำทักทายอยู่ดีนั่นแหละนะ
                  คริสยิ้มเฝื่อนๆ ก่อนจะเริ่มบ่นตามนิสัยความเคยชินของตัวเองขึ้นมาทันที
                  \" นายนี่... หัดทักทายคนอื่นดีๆแบบชาวบ้านเค้ามั่งเป็นมั้ยเนี่ย \"
                  \" ตอบได้แค่สองคำ \'ไม่เป็น\' \"
                  \" เอาเถอะ ฉันขี้เกียจบ่นกับนายแล้ว ว่าแต่แบกอะไรมาน่ะ ? \"
                  “ของขวัญไง แบกอย่างนี้เหมือนซานตาคลอสในหนังสือมั้ย”
                  เขาแกล้งทำท่าเป็นหลังค่อม ก่อนจะหัวเราะโฮะๆเลียนแบบซานตาครอสที่เคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง
                  “เหมือน โดยเฉพาะถ้านายจะกินแหลกอย่างนี้ต่อไปซักห้าหกปี”
                  เอลพูดขึ้นเป็นคำแรก แต่แค่คำแรกก็เจ็บซะแล้ว
                  “ ไม่มีทาง ชั้นว่าคริสต์นั่นแหละจะต้องอ้วนเอาๆแน่ๆ จริงมั้ย เจ้าของร้านเบเกอรี่คนต่อไป ”
                  “ช่างชั้นเถอะ คิดว่าคาเรนจะแต่งตัวเสร็จรึยัง ? ”
                  “ชัวร์... ว่ายัง ! จะพนันกันมั้ยล่ะ ?”
                  “บ้าสิ วันนี้วันอะไรพวกเธอลืมแล้วเหรอ วันเดียวของปีเลยนะ”
                  เอลแย้งขึ้น
                  \" แต่ฉันไม่คิดงั้นนะ... ถึงแม้ว่านี่จะเป็นวันเกิดอีฟก็เถอะ... เอ่อ... แต่ว่าคนเรามันก็เปลี่ยนกันได้นี่นะ ฉันเองก็ไม่คิดว่าคาเรนจะเป็นคนยังงั้นหรอก... จริงมั้ยคาเรน ? \"
                  “ใช่.... ขอโทษนะที่ชั้นจะลงมาเร็วไปหน่อย แล้วก็ขอบคุณสำหรับคำคาดเดาที่ตรงความจริง”
                  วินด์ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะบ่นพึมพัมอยู่คนเดียวว่า
                  \" โลกนี้ก็มีเรื่องแปลกๆด้วยแฮะ ดูท่าเราคงต้องเชื่อเรื่องพระเจ้าขึ้นมามั่งแล้วมั้ง... \"
                  “ แน่ะ ! ยังไม่เลิกอีก บัญชีเมื่อกี๊ชั้นยังไม่ได้สะสางเลยนะยะ ”
                  “ พอเถอะน่าพวกนาย เป็นโรคอะไรเนี่ยเจอหน้ากันเป็นต้องทะเลาะกันได้ทุกที ”
                  เอลที่เข้ามาแยกทั้งคู่ออกก่อนกล่าวอย่างเบื่อหน่าย
                  \" น่าจะเป็นแบบนี้ทุกวันเลยนะคาเรน \"
                  คริสพูดยิ้มๆ
                  คาเรนผละออกแล้วกล่าวถามคริสว่า
                  “ ช่างเหอะน่า ว่าแต่เค้กของนายสุดฝีมือรึเปล่าเถอะ ? ”
                  \" แน่นอนสิ นี่คิดว่าชั้นเป็นใครกัน \"
                  “รู้แล้วจ้า พ่อคนเก่ง ขอให้อร่อยจริงเถอะ”

                  ----------------------------------------------------------------- =_= -----------------------------------------------------------------


                  ในระหว่างทางที่จะไปบ้านของอีฟ คริสต์สังเกตเห็นว่าวินด์ในวันนี้ดูร่าเริงเป็นพิเศษ แถมยังควงถุงใส่ของขวัญไปมาพร้อมฮัมเพลงอยู่ตลอดเวลา ตนจึงถามว่า
                  \" นี่วินด์ ถามจริงๆเถอะว่าของขวัญปีนี้นายเอาอะไรมาให้อีฟน่ะ ? \"
                  \" เซอร์ไพรซ์สิเซอร์ไพรซ์ ของแบบนี้จะบอกกันง่ายๆได้ไงเล่า ถึงเวลาเดี๋ยวนายก็รู้เองน่ะแหละ หึหึหึ... \"
                  วินด์หัวเราะแบบมีเลสนัย เล่นเอาคริสใจหายวาบขึ้นมาในทันที เนื่องเพราะเขารู้จักกับวินด์มานาน จนทราบดีว่าเวลาที่วินด์หัวเราะแบบนี้ นั่นถือเป็นสัญญาณอันตรายชัดๆ
                  \" ขอร้องเถอะเพื่อน นายคงไม่อยากจะให้อีฟช๊อคตายไปในวันเกิดตัวเองหรอกใช่มั้ย เพราะงั้นช่วยบอกมาทีเถอะว่าในถุงนั่นมันมีอะไร \"
                  \" พูดอะไรยังงั้น นายนี่ก็ขี้กังวลไม่เข้าเรื่อง นายคิดว่าชั้นเป็นคนไม่รู้จักกาลเทศะแบบนั้นรึไง ? หา ? \"
                  \" ก็ใช่น่ะสิ... ชั้นยังไม่ลืมหรอกนะว่าปีที่แล้วนายเอาอะไรมาให้ตอนวันเกิดชั้น.... \"
                  คริสต์พูดเสียงเอื่อยๆ โดยพยายามไม่นึกถึงความรู้สึกสลดสุดชีวิตตอนที่เห็นลูกแมวตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากล่องของขวัญเมื่อปีก่อน
                  \" ฮ่าๆๆๆ ก็ชั้นเห็นว่านายชอบบ่นจู้จี้เป็นตาแก่ก็เลยหาแมวมาให้นายระบาย นายน่าจะขอบคุณชั้นมากกว่านะ \"
                  \" แล้วไอ้หมวกหูแมวที่นายให้ฉันมาตอนวันเกิดปีก่อนนู้นนั่นล่ะ ? หวังดีด้วยงั้นสิ ? \"
                  \" แน่นอน ก็ชั้นคิดว่ามันน่าจะทำให้นายรักแมวขึ้นมาบ้างน่ะสิ ว่างั้นไหม ? \"
                  \" ไม่เลย.... \"
                  เอลมองดูทั้งสองเถียงกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เด็กๆในหมู่บ้านแทบจะไม่มีใครทราบว่าวินด์นั้นรักแมวเป็นชีวิตจิตใจ ตรงข้ามกับคริสต์ที่เห็นแมวเป็นต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด             จนเป็นเหตุให้ทั้งสองต่างหาทางแกล้งกันอยู่ตลอดเวลา แต่ความจริงแล้วจะบอกว่าทั้งคู่สนิทกันที่สุดในบรรดาพวกเขาก็ว่าได้
                  เหลียวกลับไปมองคาเรน คาเรนกำลังสาละวนอยู่กับการแต่งผมตัวเอง ดูเหมือนเธอจะใช้เวลาที่สูญเสียไปก่อนจะมานี่ได้คุ้มค่าซะเหลือเกิน ไม่รู้จะรักสวยรักงามอะไรกันหนักกันหนา ถึงจะบอกว่านั่นเป็นธรรมชาติของเด็กผู้หญิงก็เถอะ...
                  \" ดูนั่นสิ มีตุ๊กตาหน้าตลกอยู่ที่หน้าบ้านป้าเรย์ด้วยล่ะ \"
                  วินด์ชี้ให้ทุกคนมองตามไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปรวดเร็ว เด็กทั้งสี่เดินพูดคุยกันไปเพียงชั่วครู่ก็พบเห็นบ้านของอีฟอยู่ลิบๆแล้ว ระยะทางที่เคยยาวไกลกลับสั้นกว่าที่พวกเขาคิดไว้มากมายนัก สั้นจนกระทั่งบางครั้งวินด์เองยังแปลกใจ
                  ทางความจริงเป็นทางเส้นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับท่านจะเดินอย่างไร เส้นทางที่มีมิตรสหายห้อมล้อม จะอย่างไรก็สั้นกว่าเส้นทางโดดเดี่ยวใต้ลมหิมะมากนัก
                  หน้าบ้านไม้หลังน้อยของป้าเรย์กลายเป็นสวนหิมะสีขาวโพลน ในสถานที่นั้นมีเด็กหญิงคนหนึ่งกำลังปั้นตุ๊กตาหิมะที่หน้าตาแปลกประหลาดอยู่อย่างเพลิดเพลิน
                  ตุ๊กตาหิมะตัวนี้ปั้นได้ไม่ดีนัก หน้าตาที่ควรจะกลมๆป้อมๆของมันบิดเบี้ยวจนแปลกประหลาด แต่เด็กหญิงก็ยังคงโดยเอาก้อนหิมะมาโปะสุมลงไปด้วยความสนุกสนาน แน่นอน... เธอไม่สนใจว่าหน้าตาของตุ๊กตาหิมะจะเปลี่ยนไปเป็นสารรูปใด เนื่องเพราะความจริงแล้วเธอมองไม่เห็นมันเลย
                  วินด์จงใจเดินให้เสียงดังขึ้นเพื่อให้เด็กหญิงรู้สึกตัว เขาเดินย่ำหิมะเข้าไปอย่างร่าเริงพร้อมทั้งส่งเสียงทักทายว่า
                  \" นี่ใจคอเธอจะต้อนรับพวกฉันด้วยตุ๊กตาหิมะแทนช็อกโกแลตอุ่นๆเหรออีฟ ? \"
                  อีฟหันขวับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอจำน้ำเสียงที่ยียวนกวนประสาทตามแบบฉบับของวินด์ได้เป็นอย่างดี
                  \"อย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของวินด์เลยอีฟ คนตะกละแบบนี้ปล่อยให้กินหิมะนั่นแหละดีแล้ว\"
                  คาเรนกล่าว
                  \"ใช่ พวกเราตั้งใจเอาของขวัญวันเกิดมาให้อีฟต่างหาก คนที่เห็นแก่กินแบบนั้นมีแค่วินด์คนเดียวแหละ\"
                  \"อ้าวๆ ไหงพูดอย่างงั้นล่ะคริสต์ นายเป็นพวกคาเรนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!\"
                  วินด์โวยวาย เอลเดินเข้ามาตบบ่าวินด์เบาๆแล้วพูดว่า
                  \"เอาน่าๆ นายเองก็เอาของขวัญมาให้อีฟเหมือนกันนี่ ไม่ต้องหาเรื่องพูดแก้เขินแบบนั้นก็ได้\"
                  \" ชิ ! พวกนายนี่ไม่ได้เข้าใจอะไรซะเลย ชั้นน่ะนะ.. ชั้นน่ะ... เอ่อ... \"
                  วินด์พยายามหาทางพูดแก้ตัว แต่จนใจที่เขาไม่เคยพูดโกหกมาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่าจะพูดกลบเกลื่อนยังไงดี
                  \" จ้าๆ เข้าใจแล้ว \" เอลกล่าวยิ้มๆก่อนจะเดินไปโอบไหล่อีพเข้าเปิดประตูเข้าบ้านไป
                  คริสเดินเข้ามาตบบ่าวินด์เบาๆ ที่มุมปากมีรอยยิ้มสะใจแฝงอยู่เล็กน้อย แน่นอน โอกาสที่จะได้เยาะเย้ยเจ้าคนกวนประสาทนี่มันมีบ่อยๆซะเมื่อไหร่ล่ะ
                  แมวขนขาวที่อีฟเลี้ยงไว้เดินมาคลอเคลียอยู่ที่ขาของวินด์ พลางงับชายกางเกงเขาเบาๆ เป็นเชิงว่าให้เข้าไปซะที วินด์ได้แต่ฝืนยิ้มเดินเข้าไป โดยที่จนแล้วจนรอดก็ยังหาคำพูดมาแก้ตัวไม่ได้เลยสักนิดเดียว....
                  \" คอยดูเถอะ ปีหน้าชั้นจะฝึกพูดโกหกให้ดู ! \"

                  ----------------------------------------------------------------- =_= -----------------------------------------------------------------

                  อากาศเบื้องนอกมาตรว่าจะเหน็บหนาวเพียงไร แต่พริบตาที่เปิดประตูบ้านลง สรรพสิ่งประดามีที่เบื้องนอกก็คล้ายถูกกั้นไว้อย่างสิ้นเชิง
                  ในบ้านน้อยเงียบสงบและอบอุ่น ความอบอุ่นครึ่งหนึ่งมาจากเตาผิงที่มุมบ้าน อีกครึ่งหนึ่งมาจากรอยยิ้มของสองป้าหลาน
                  ดวงตาของอีฟแม้มืดมอด แต่เธอไม่เคยโทษฟ้าตำหนิดิน เธอเชื่อเสมอว่าโลกนี้ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่ใครๆคิด ต่อให้พระเจ้าช่วงชิงแสงสว่างไปจากเธอแต่ก็ได้มอบสิ่งอื่นมาทดแทน เธอไม่เพียงมีป้าที่เมตตาการุณที่สุดในโลก ทั้งยังมีเพื่อนที่รักและห่วงใยเธอกว่าใครๆอีกด้วย
                  ดังนั้นเด็กน้อยจึงแย้มยิ้ม แย้มยิ้มอยู่เสมอมา และก็จะแย้มยิ้มอยู่ตลอดไป
                  วินด์ก็ยิ้ม แม้ต่อหน้าเพื่อนๆเขาชอบมีท่าทีเฮฮาก็จริง แต่เมื่อเขาได้มองดูรอยยิ้มที่อบอุ่นอยู่ตลอดกาลของอีฟ รอยยิ้มของเขาก็จะแปรเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้กระทั่งตัวเขาเองยังไม่ทราบ
                  เขานับถืออีฟที่เป็นแบบนี้ และเขาเองก็มักจะมองดูอีฟในเวลาที่ไม่มีใครสังเกตอยู่บ่อยครั้ง อาจบางทีนั่นเป็นเพราะเขาไม่เคยเห็นคนที่มีความรักต่อโลกมากถึงขนาดนี้ก็เป็นได้
                  \" นี่วินด์ ปีนี้เธอเอาอะไรมาให้ฉันเหรอ ? \"
                  อีฟกล่าวถามในขนะที่วินด์ส่งมอบของขวัญให้แก่เธอ
                  \" ลองทายดูสิ \"
                  วินด์กล่าวยิ้มๆ
                  \" อืมม์... จะบอกว่าเป็นขนมก็ดูจะหนักเกินไป แต่กล่องเล็กๆแบบนี้จะว่าเป็นพวกเสื้อผ้าก็ไม่น่าจะใช่ ว้า ไม่เอาแล้ว เฉลยมาเลยดีกว่า \"
                  \" ฮะๆๆ เธอนี่ไม่มีความอดทนซะเลยน้า เอาเถอะเฉลยก็ได้ \"
                  เขากล่าวพลางหยิบกล่องของขวัญมาจากมืออีฟ ค่อยบรรจงแกะห่อกระดาษออกอย่างระมัดระวัง ด้วยท่าทีทะนุถนอมยิ่งกว่าตอนป้อนข้าวเด็กซะอีก
                  \" นี่คริสต์ นายว่าไอ้นั่นมันจะเป็นอะไรน่ะ ? \"
                  เอลกระซิบถามคริสต์เบาๆ หลังจากเห็นท่าทีของวินด์แล้ว
                  \" ไม่รู้สิ แต่ฉันก็เพิ่งจะเคยเห็นเจ้าหมอนั่นมันทำท่าทะนุถนอมของที่ไม่ใช่แมวถึงขนาดนี้นี่แหละ \"
                  \" แมวเหรอ.... หรือว่า... เจ้าบ้านั่นเอาแมวใส่กล่องของขวัญมาให้อีฟ !? \"
                  เอลพูดพลางสะดุ้งโหยงขึ้นมา เล่นเอาคริสต์ตกใจไปด้วย แต่หลังจากคิดไปคิดมาก็ส่ายหน้ากล่าวว่า
                  \" ไม่น่า... เพราะปีก่อนเจ้านั่นก็เอาแมวมาให้ฉันตัวนึงแล้ว มันคงไม่เล่นมุขซ้ำๆกันหรอก \"
                  \" แล้วมันเป็นอะไรกันล่ะ ? \"
                  \" ฉันจะไปรู้ได้ไงล่ะ ดูนั่นสิเจ้านั่นแกะห่อของขวัญออกหมดแล้ว แต่เฮ้ย !! นั่นมัน.....! \"
                  เขากล่าวได้เพียงเท่านี้ เนื่องเพราะเวลานั้นวินด์ได้ส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนเงียบ ก่อนจะส่งของขวัญชิ้นนั้นไปให้อีฟอีกครั้ง
                  \" นี่กล่องอะไรเหรอ ? \"
                  อีฟกล่าวถาม
                  \" หึๆๆ ลองเปิดดูสิ \"
                  อีฟเปิดกล่องออกตามที่วินด์บอก จากนั้นเธอค่อยได้ยินซุ่มเสียงหนึ่งดังขึ้น ซุ่มเสียงนั่นแว่วมาอย่างแช่มช้าและเป็นจังหวะ กอปรกันเป็นบทเพลงบทหนึ่ง
                  ในบทเพลงบางครั้งแผ่นพลิ้วราวสายน้ำ บางครั้งเลื่อนลอยดั่งสายลม เป็นบทเพลงอันไพเราะที่ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งเย็นสบายแก่ผู้ฟัง ราวกับแฝงไว้ด้วยเวทย์มนจากสรวงสวรรค์ก็ปาน
                  อีฟรับฟังบทเพลงนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม สุดท้ายค่อยโพล่งขึ้นว่า
                  \" นี่มันหีบเพลงไม่ใช่เหรอเหรอ ? เธอไปหามันมาได้ยังไงน่ะ ? ในหมู่บ้านเราไม่มีของแบบนี้ขายนี่นา \"
                  วินด์ยิ้มแล้วกล่าวว่า
                  \" ฉันฝากพ่อซื้อตอนที่เข้าไปทำธุระในเมืองน่ะ เพราะใช่มั้ยล่ะ เพลงนี้น่ะฉันชอบมากเลยนะ \"
                  \" อื้ม เพราะมากเลย เพลงนี้ชื่อว่าเพลงอะไรเหรอ ? \"
                  \" หึๆๆ ฟังแล้วอย่าตกใจล่ะ นี่คือเพลง \'เวทย์มนต์แห่งสายลม\' ชื่อเหมือนกับฉันเลย ยอดใช่มั้ยล่ะ \"
                  อีฟหัวเราะพลางกล่าว
                  \" มิน่านายถึงได้ชอบเพลงนี้นัก ขอบใจมากนะ ฉันชอบหีบเพลงอันนี้มากเลย \"
                  \" ฮะๆๆ ไม่เป็นไรๆ ขอแค่ตอนนี้เธอรีบๆไปเอาของกินมาตั้งโต๊ะ แค่นี้ฉันก็ดีใจ...แอ๊ก!! \"
                  ประโยคนี้วินด์พูดไม่จบเพราะโดนเอลศอกเข้าที่สีข้างอย่างเต็มเปาจนต้องลงไปกองกับพื้นอย่างหมดท่า ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างสะใจของคริสต์กับคาเรน
                  \" นี่แหละผลของความตะกละ จำไว้ให้ดีล่ะ ! \"
                  เอลกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะจูงมืออีฟเดินไปดูของขวัญชิ้นอื่นต่อ

                  ----------------------------------------------------------------- =_= -----------------------------------------------------------------


                  กลางดึกของคืนนั้นเอลชักชวนทุกคนให้สะกดรอยตามอีฟไป เพราะเธอสังเกตเห็นว่าอีฟทีท่าทีแปลกๆ และยังหลบป้าเรย์ออกมาจากบ้านตอนที่หญิงชราหลับไปแล้วอีกด้วย             หลังจากติดตามไปพักใหญ่พวกเขาก็เห็นเด็กสาวเดินเข้าไปในบ้านร้างที่น่าสะพรึงกลัวหลังหนึ่ง ในบ้านร้างมีชายชราหน้าตาน่ากลัวอาศัยอยู่ แต่ดูเหมือนอีฟจะไม่ได้สนใจเลย เธอพูดคุยกับชายชราอย่างสนิทสนม จนทุกคนทราบว่าอีฟหลบมาที่นี่ทุกคืนเพื่อจะเย็บตุ๊กตาเป็นของขวัญให้กับพวกเขา
                  \" พวกนายเชื่อเรื่องซานต้ามั้ย ? \"
                  วินด์กล่าวถามทุกคนหลังจากลอบส่งอีฟกลับไปถึงบ้านแล้ว
                  \" เรื่องเหลวไหล ชั้นไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นหรอก \"
                  คริสต์กล่าวเสียงแข็ง จนคาเรนอดสงสัยไม่ได้จึงถามว่า
                  \" นายเกลียดซานตาครอสรึไงคริสต์ ? \"
                  \" เกลียดสิ เกลียดพระเจ้าด้วย ต่อให้พระเจ้ามีจริงชั้นก็ไม่เชื่อหรอกว่าหมอนั่นจะเป็นคนดีเหมือนที่ใครๆพูดถึง ไม่งั้น.... \"
                  คริสกล่าวเพียงเท่านี้ก็ปิดปากลง คล้ายไม่ต้องการสนทนาถึงเรื่องนี้อีก วินด์มองหน้าเขาครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า
                  \" \'ไม่งั้นอีฟคงไม่ต้องตาบอดแบบนี้\' อย่างงั้นใช่มั้ย ? \"
                  คาเรนทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า
                  \" ที่นายคิดแบบนั้นฉันก็พอจะเข้าใจแหละนะ.... แต่ว่าตอนนี้อีฟเองก็มีความสุขดีนี่นา หรือนายไม่พอใจอะไร ? \"
                  \" ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่ยังไงฉันก็ไม่พอใจอยู่ดี ในเมื่อโลกนี้มีคนที่เกิดมาพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วทำไมถึงมีบางคนต้องเกิดมาด้อยกว่าคนอื่นด้วยล่ะ ฉันทำใจยอมรับไม่ได้หรอก \"
                  วินด์ยิ้มแล้วกล่าวว่า
                  \" นายมีความคิดของนาย อีฟก็มีความคิดของอีฟ แต่โชคดีที่ความคิดของพวกนายสองคนไม่เหมือนกัน \"
                  เขาหยุดเล็กน้อยค่อยกล่าวอย่างแช่มช้า
                  \" อีฟเคยบอกว่าเธอเป็นคนที่โชคดี เธอมีป้าที่รักเธอกว่าใครๆ แล้วก็ยังมีเพื่อนที่เป็นห่วงเธอไม่แพ้กันอีก ถึงแม้เธอจะมองไม่เห็น แต่เธอก็พอใจแล้ว \"
                  \" คนที่เกิดมาพร้อมกับทุกอย่างที่นายว่า แท้ที่จริงเขาอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ ส่วนอีฟที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเลย นายมั่นใจเหรอว่าเธอไม่มีอะไรเลยจริงๆ ? \"
                  \" อีฟเป็นคนประหลาด เธอมองไม่เห็นอะไรเลยก็จริง แต่เธอก็ยังมีความสุข เธอพอใจทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็รักทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงนายบอกว่าเธอต้องทุกข์ทรมานกว่าคนอื่น แต่ฉันมองเห็นว่าเธออาจจะมีความสุขมากกว่าพวกเราซธอีก หรือนายไม่คิดแบบนั้น ? \"
                  คริสต์ก้มหน้าลง เขายอมรับว่าที่วินด์พูดเป็นความจริง แต่ใจเขาก็ยังยอมรับไม่ได้อยู่ดี

                  ----------------------------------------------------------------- =_= -----------------------------------------------------------------


                  มีคำกล่าวที่ว่า \"เคราะห์ร้าย มักมาเยือนในยามที่ไม่มีใครต้องการ\" ประโยคนี้เป็นจริงหรือไม่ไม่มีใครทราบ แต่สำหรับในกรณีของอีฟแล้ว คงสามารถยกเอาคำพูดนี้มาใช้ได้ หลังจากอีฟแอบกลับมาบ้านโดยที่ป้าเรย์ไม่รู้ เมื่อเธอหลับไปอย่างอ่อนล้าได้ไม่กี่ชั่วโมง อีฟก็เริ่มปวดหัวพร้อมกับหอบไอออกมาไม่หยุด ใช่แล้ว เธอล้มป่วย เนื่องเพราะนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ทั้งยังฝ่าหิมะที่หนาวเย็นออกไปทำตุ๊กตาทุกคืน ป้าเรย์ตกใจมากกับอาการป่วยหนักของอีฟ จนต้องเรียกหมอมาดูอาการที่บ้าน
                  สุดท้ายหมอลงความเห็นว่าเธอเป็นไข้หวัดใหญ่ ต้องนอนพักอยู่กับบ้านเป็นเวลานาน แน่นอนว่าเรื่องจะเอาของขวัญไปแจกก็หมดหวัง
                  เด็กๆทั้งสี่ทราบเรื่องนี้หลังจากที่พากันไปเยี่ยมเธอในตอนบ่าย จึงได้ตกลงกันว่าจะเอาของขวัญเหล่านั้นไปแจกให้เอง แต่คล้ายเคราะห์ซ้ำกระหน่ำซัด พวกเขาไปที่บ้านร้างเพื่อนำตุ๊กตาออกมาแต่กลับพบเจอเพียงความว่างเปล่า มิเพียงไม่มีตุ๊กตาเท่านั้น กระทั่งชายชราและข้าวของก็ต่างพากันอันตรธานไปกันหมดสิ้น
                  จากความนี้สามารถคิดได้อย่างเดียว ชายชราได้หอบข้าวของหนีไปแล้ว !
                  ตุ๊กตาของอีฟแม้จะไม่สวยงามนัก แต่ตุ๊กตาจะอย่างไรก็ยังเป็นตุ๊กตา อย่างน้อยก็ยังพอขายได้ หากว่าชายชราซอมซ่อผู้นั้นจะคิดไม่ซื่อหอบตุ๊กตาหนีไปขายก็ไม่นับว่าเกินเลยไปนัก เด็กทั้งสี่แยกย้ายกันไปตามหาจนมืดค่ำแต่ก็ยังไม่พบเจอแม้แต่เงา จนกระทั่งวินด์เองก็ยังหัวเราะไม่ออกแล้ว
                  \" หรือตาแก่นั่นออกนอกหมู่บ้านไปแล้ว บ้าที่สุด ! \"
                  เขาร้องขึ้นอย่างหัวเสีย ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยโมโหถึงขนาดนี้มาก่อน เด็กน้อยทั้งเดือดดาลและสิ้นหวัง สุดท้ายได้แต่เดินคอตกกลับมา
                  วินด์ไม่ได้กลับบ้าน และไม่ได้ไปรวมตัวกับทุกคน เขาไม่อยากเห็นใบหน้าเศร้าสลดของพรรคพวก ยิ่งไม่ต้องการเห็นใบหน้าที่เป็นทุกข์ของอีฟ
                  ใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มนั้นหากทราบความจริงแล้วจะเป็นอย่างไร ? ความปวดร้าวของการถูกทรยศหักหลังจะทำร้ายเด็กน้อยถึงเพียงไหน เขากระทั่งคิดยังไม่กล้าคิด
      เขานั่งคอตกอยู่ริมแม่น้ำ โดยที่ไม่ทันรู้ตัวก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว
                  \" ฉันจะทำยังไงดี.... \"
                  เขากล่าวขึ้นอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะหยิบหินก้อนหนึ่งขว้างลงน้ำเพื่อระบายอารมณ์
                  เสียงก้อนหินแหวกแผ่นน้ำลงดังตูม ผืนน้ำที่ราบเรียบถูกก่อกวนจนสั่นไหวเป็นระรอกๆ กระทั่งเนิ่นนานผ่านไปยังไม่กลับคืนสภาพเดิม
                  วินด์ฝืนยิ้ม เขาได้แต่ฝืนยิ้ม เขาทำอะไรไม่ได้แล้ว ตอนนี้ทางที่ดีเขาควรจะกลับบ้านซะดีกว่า ป่านนี้พ่อแม่คงจะเป็นห่วงแล้ว
                  ทันใดนั้นผิวน้ำพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง การสั่นไหวที่ควรจะสงบลงไปแล้วกลับปั่นป่วนขึ้นมาอีกครา วินด์มองดูแผ่นน้ำนั้นอย่างตื่นตระหนก ในเงาดวงจันทร์ที่สะท้อนอยู่            ในน้ำมีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ เด็กน้อยแหงนหน้ามองฟ้าด้วยใจระทึก สิ่งที่วินด์เห็นทำให้เขาแทบกระโดดปราดขึ้น โพล่งว่า
                  \" ซานตาครอส ! \"
                  เงาที่ทาบทับอยู่บนดวงจันทร์นั้นเป็นกวางเรนเดียร์สองตัวที่กำลังลากเลื่อนอยู่ ในรถเลื่อนมีชายชราร่างอ้วนกับกล่องของขวัญมากมายบรรจุไว้ และที่น่าตื่นตระหนกกว่านั้นก็คือชายชรานั้นกลับเป็นคนเดียวกันกับชายชราซอมซ่อในบ้านร้างนั้นเอง !
                  ภาพที่เห็นนี้ทำให้เด็กน้อยลืมเลือนความจริงไปชั่วครู่ เนื่องเพราะนั่นช่างเหมือนกับในหนังสือนิทานที่เขาเคยอ่านมาเหลือเกิน สิ่งที่เขาเห็นนี้เป็นความจริงรึภาพมายากันแน่ !?
                  ซานตาครอส ซานตาครอสมีจริง.... ทั้งยังเป็นคนที่พวกเขาเคยกล่าวหาว่าเป็นขโมย
                  เด็กน้อยออกวิ่ง โบกมือ โห่ร้อง ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ชายชราสังเกตเห็น แต่ก็ไม่ประสบผล สุดท้ายเงาดำนั้นค่อยสาบสูญไปจากสายตา
                  วินด์ไม่ทราบสมควรทำอย่างไร สุดท้ายค่อยพกหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะกลับบ้านไป
                  \" เธอพูดไม่ผิดเลยอีฟ ซานต้ามีจริงๆด้วย \"

                  ----------------------------------------------------------------- =_= -----------------------------------------------------------------


                   ชายชราเล่ามาถึงตรงนี้ก็พบว่าเด็กน้อยได้หลับไปเสียแล้ว  เขาแย้มยิ้มพร้อมลูบศีรษะเด็กน้อยไปมา  ก่อนจะกล่าวเบาๆคล้ายรำพึงว่า
          \" หลานเอ๋ย  อาจบางทีเจ้ายังไม่รู้  ซานต้าในเรื่องนี้ความจริงไม่ใช่ชายชรา  แล้วซานต้าในชีวิตจริงก็ไม่ใช่ชายชราเสมอไปด้วย  เจ้าเองก็ได้พบเจอซานต้ามาหลายครั้งหลายหนแล้ว  เพียงแต่ตัวเองไม่รู้เท่านั้น \"
          \" ซานต้าในโลกนี้มีอยู่ทุกที่  มีอยู่มากมาย  แต่พวกเขาเป็นคนเดินดิน  ไม่ได้สวมชุดแดง  แต่ไม่ได้ขี่รถเลื่อนบินไปมา \"
          \" ซานต้าที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องมีลักษณะเช่นดังนิยายเสมอไป  ความเป็นซานต้าไม่ได้อยู่ในชุด  ไม่ได้อยู่ในรถเลื่อน  แต่อยู่ใน \'จิตใจ\' ของพวกเขา  จิตใจที่รักในเพื่อนมนุษย์  จิตใจที่พร้อมจะให้ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน  เพียงต้องการเห็นรอยยิ้มจากมุมปากของทุกคน  สิ่งนั้นแหละที่พวกเราเรียกกันว่า \'ซานตาครอส\' \"


                  ----------------------------------------------------------------- =_= -----------------------------------------------------------------


                  บทส่งท้าย

                  ซานต้ามีจริงหรือไม่ ?
                  ไม่ทราบ ไม่มีใครทราบ
                  ข้าพเจ้าเพียงทราบอย่างหนึ่ง ในโลกนี้ต้องมีซานต้าอยู่แน่นอน !
                  ซานตาครอสอาจบางทีไม่ใช่ชายชรา และก็ไม่ได้นั่งรถเลื่อนที่บินได้ อาจบางทีเขาเป็นเพียงมนุษย์เดินดินผู้หนึ่ง กระทั่งยังอาจจะเป็นชายหัวขี้กลากหรือวนิพกก็เป็นได้
                  แต่เขาต้องมีอยู่ ! ในโลกที่กว้างใหญ่นี้มีซานต้าอยู่มากมาย ข้าพเจ้าสามารถยืนยันได้
                  เนื่องเพราะข้าพเจ้าได้เห็นมาแล้ว ในโลกนี้มีผู้ที่อยู่กับอุดมการณ์ มีผู้ที่ปรารภนาให้ผู้อื่นมีความสุขโดยบริสุทธิ์ใจ ผู้ที่เพียงพยายามให้ผู้อื่นมีความสุขโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
                  คนที่สร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่างเพื่อผู้อื่น คนที่ปรารถนาเพียงรอยยิ้มและความสนุกสนานของผู้อื่น คนที่ต้องการเพียง \'ให้\' โดยไม่ต้องการจะ \'รับ\'
                  ข้าพเจ้าชอบคนประเภทนี้ และพยายามเพื่อที่จะเป็นคนประเภทนี้
                  ข้าพเจ้ารู้จักพวกเขา ยกย่องพวกเขา และหวังว่าซักวันจะสามารถเป็นคนประเภทนั้นได้ ข้าพเจ้าตอนนี้ทำอะไรไม่ได้นัก ทำได้เพียงแต่งนิยายมาให้คนอ่านเท่านั้น แต่อย่างน้อยข้าพเจ้าหวังว่าจะสามารถทำให้ซานต้าในโลกนี้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้ แม้เพียงกระทั่งคนเดียวก็ยังดี
                  ท่านเล่า ท่านเคยพบเห็นซานต้ามาหรือไม่ ? และคิดจะเป็นซานต้าบ้างหรือไม่ ?
                  เป็นซานตาครอสที่แท้จริง มิใช่ซานตาครอสในนิยาย !

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×